วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เจ้าหญิง แห่ง เวลส์


ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์
เจ้าหญิงไดอานา.jpg
พระนามไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์
พระนามเต็มไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์
ฐานันดรศักดิ์เจ้าหญิงแห่งเวลส์
ราชวงศ์ราชวงศ์อังกฤษ
ข้อมูลส่วนพระองค์
ประสูติ1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504
ปาร์กเฮาส์
ธงชาติของอังกฤษ เมืองแซนดริงแฮมมณฑลนอร์ฟอล์ก ประเทศอังกฤษ
สิ้นพระชนม์31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 (36 ชันษา)
โรงพยาบาลปีเต-แซลแปตริแยร์
ธงชาติของฝรั่งเศส กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
บัพติศมา30 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ณ โบสถ์เซนต์แมรี่แมกดาลีน
เมืองแซนดริงแฮม มณฑลนอร์ฟอล์กประเทศอังกฤษ
พระบิดาจอห์น สเปนเซอร์
เอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ที่ 8
พระมารดาฟรานเซส แชนด์ คีดด์
พระสวามีเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์แห่งเวลส์ (อภิเษกสมรส 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2524
หย่าร้าง 28 สิงหาคม พ.ศ. 2539)[1]
พระราชโอรส/ธิดาเจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์
เจ้าชายเฮนรีแห่งเวลส์
    
ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (อังกฤษDiana, Princess of Wales) หรือพระนามเต็มคือ ไดอานา ฟรานเซส[2] - สกุลเดิม สเปนเซอร์ (Diana Frances, née The Lady Diana Spencer) (ประสูติ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ที่เมืองแซนดริงแฮม ประเทศอังกฤษ — สิ้นพระชนม์ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส) เป็นพระชายาพระองค์แรกของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ แห่งเวลส์ จากการอภิเษกสมรสเมื่อปี พ.ศ. 2524 และได้ทรงหย่าขาดเมื่อปี พ.ศ. 2539 พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเจ้าหญิงแห่งเวลส์เป็นพระองค์ที่ 9 ของอังกฤษ สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปนิยมขนานพระนามว่า "เจ้าหญิงไดอานา" ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วพระนามนี้ถือว่าผิดในทางทฤษฎี[ต้องการอ้างอิง]
ไดอานาได้เป็นสมาชิกราชวงศ์อังกฤษจากการอภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ เมื่อ 29 กรกฎาคม 2524 พระราชพิธีอภิเษกสมรสมีขึ้นที่มหาวิหารเซนต์พอล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีผู้รับชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีในครั้งนี้มากถึง 750 ล้านคนทั่วโลก[ต้องการอ้างอิง] ต่อมาไดอานาได้ให้กำเนิดพระโอรสทั้งสองพระองค์คือ เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี รัชทายาทลำดับที่สองและสามแห่งการสืบสันติวงศ์แห่งราชบัลลังก์อังกฤษและ 16 เครือจักรภพ นับตั้งแต่ทรงหมั้นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ในปี พ.ศ. 2524 จนกระทั่งการสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุรถยนต์ที่กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2540 ไดอานาเป็นผู้หญิงสำคัญคนหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะความสนพระทัย การฉลองพระองค์ รวมถึงพระกรณียกิจของพระองค์ได้รับความสนใจจากทั่วทุกมุมโลก พระองค์ทรงเป็นผู้นำแฟชั่น เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม ความหวังของผู้ป่วยโรคเอดส์ แต่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือพระองค์ทรงเป็นพระราชินีในดวงใจของประชาชนอีกด้วย ตลอดทั้งพระชนม์ชีพพระองค์เป็นผู้ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดคนหนึ่งในโลกราวกับนักแสดงที่มีชื่อเสียง[ต้องการอ้างอิง]
ไดอานาเป็นที่จดจำภาพลักษณ์การแต่งกาย แฟชั่น งานด้านการกุศลและเป็นบุคคลสาธารณะในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 จากการเป็นพระชายาองค์แรกของเจ้าชายแห่งเวลส์ ไดอานาเคยรณรงค์ต่อต้านการใช้กับระเบิดทั่วโลก และเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของโรงพยาบาลเด็ก เกรท ออร์มันด์ สตรีทตั้งแต่ปี 2532 จนถึง 2538

เนื้อหา

  [ซ่อน

[แก้]วัยเด็ก

ไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 เวลา 18.39 น. ที่ปาร์กเฮ้าส์ เมืองแซนดริงแฮม มณฑลนอร์ฟอล์ก เป็นธิดาคนเล็กของจอห์น สเปนเซอร์ ไวสเคานท์อัลธอร์พ (เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 8 ในเวลาต่อมา) กับภรรยาคนแรก ดิออนนูเรเบิล ฟรานเซส เบิร์ก ร็อฌ (ต่อมาเป็น นางฟรานเซส ชานด์ คีดด์) บิดาของไดอานาสืบเชื้อสายมาจากยุกแห่งมอลเบอระที่ 1 มารดาของไดอานามีเชื้อสายระหว่างอังกฤษกับไอริช เป็นลูกสาวของบารอนเฟอร์มอยที่ 4 กับเลดี้รูธ ซิลเวีย กิล นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธโบว-ลีออนส์
ไดอานามีพี่น้องทั้งหมด 5 คน ดังนี้
  1. ซาราห์ เอลิซาเบธ ลาวินา สเปนเซอร์ พี่สาวคนโต (ปัจจุบันคือ เลดี้ซาราห์ แมคคอร์ควอเดล)
  2. เจน ซินเธีย สเปนเซอร์ พี่สาวคนรอง (ปัจจุบันคือ บารอนเนสเฟลโลวส์)
  3. ไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ (เจ้าหญิงแห่งเวลส์ 2524-2540)
  4. จอห์น สเปนเซอร์ (ถึงแก่กรรมหลังคลอดได้เพียง 10 ชั่วโมง)
  5. ชาร์ลส์ เอ็ดเวิร์ด มัวริซ สเปนเซอร์ น้องชายเพียงคนเดียว(ปัจจุบันคือ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9)
ไดอานาทำพิธีล้างบาปที่โบสถ์เซนต์มารี แมกดาลีน โดยสาธุคุณเพอร์ซี่ เฮอร์เบิร์ต (เจ้าอาวาสและอดีติชอปแห่งนอร์วิชและแบล็กเบิร์น) ในวันที่ 30 สิงหาคม 2504 โดยมีจอห์น ฟลอยด์ (ประธานบริษัทประมูลคริสตี้ส์) เป็นพ่อทูนหัว
พ่อแม่ของไดอานาหย่าร้างกัน ขณะที่เธอมีอายุได้เพียง 8 ขวบ ในปี พ.ศ. 2512 หลังจากที่สองสามีภรรยาโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนและผลลงเอยด้วยการที่แม่ไปมีความสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว ต่อมาไดอานากับน้องชายได้ไปอยู่กับแม่ในอพาร์ตเมนต์ในลอนดอน เขตไนท์บริดจ์ เธอได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแถวบ้านที่ลอนดอนในตอนกลางวัน ไม่นานนัก จอห์น พ่อของไดอานาได้ฟ้องร้องคดีเรื่องสิทธิในการเลี้ยงดูบุตรทั้งสี่กับฟรานเซส ผู้เป็นแม่ ท้ายที่สุดพ่อเป็นผู้ชนะคดีเนื่องจากบารอนเนสเฟอร์มอย ยายของไดอานา ให้การว่า ฟรานเซสทำตัวเป็น "แม่ที่ไม่เหมาะสม" หลังจากหย่าร้างได้ไม่ถึงเดือน ฟรานเซสแต่งงานใหม่ทันทีและย้ายไปอยู่ที่เกาะเซล สก็อตแลนด์ฝั่งตะวันตก แต่ทั้งไดอานาและพี่น้อง ๆ ก็ได้ไปเยี่ยมแม่เป็นประจำ แม้ว่าลูกทั้ง 4 คนจะได้อยู่กับพ่อ แต่จอห์นก็ไม่มีเวลาให้ลูก ๆ เพราะมัวยุ่งแต่กับงาน
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง เมื่อจอห์นไปมีความสัมพันธ์กับเรน เคานต์เตสแห่งดาร์มัธสตรีที่ผ่านการแต่งงานมาแล้ว เรนเป็นลูกสาวของอเล็กซานเดอร์ แม็กควอเดลกับบาร์บารา คาร์ตแลนด์ (นักเขียนนวนิยายโรแมนติกที่ไดอานาชื่นชอบ) จอห์นแต่งงานกับเรนหลังจากที่เธอหย่าขาดกับสามีคนเก่าได้ไม่นาน การแต่งงานครั้งที่สองของพ่อและแม่ของไดอานานี้ ทั้งสองไม่มีบุตรกับคู่สมรสคนใหม่ แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสี่คนพี่น้องกับพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงก็เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก

[แก้]การศึกษา

ไดอานาเข้าเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนซิลฟิลด์ ในเมืองคิงส์-ลีนน์ มณฑลนอร์ฟอล์ก ต่อมาย้ายไปเรียนที่โรงเรียนริดเดิ้ลสเวิร์ธ ที่นอร์ฟอล์ก เรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนสตรีเวสต์ฮีธ (ปัจจุบันกลายเป็น โรงเรียนนิวสกูลแห่งเวสต์ฮีธ) ในเมืองเซเว่นโอ๊กส์ มณฑลเคนท์ ไดอานาเป็นนักเรียนที่เรียนอ่อนมาก เพราะสอบไม่ผ่านวิชาพื้นฐาน O-levels ถึงสองครั้ง ที่โรงเรียนเธอสนใจวิชาสังคมศึกษา ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และกีฬา เธอไม่เคยทำตัวให้เป็นที่สนใจและเป็นคนขี้อาย ไม่เคยอาสาตอบคำถามในชั้นเรียนให้ครู ไดอานาเคยแสดงละครเวทีของโรงเรียนหนึ่งครั้งในบทตุ๊กตาดัชท์ที่ไม่ต้องมีบทพูด เมื่ออายุ 16 ปี ไดอานาลาออกจากโรงเรียนเวสต์ฮีธโดยไต้รับรางวัลจากโรงเรียนในฐานะเป็นนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ดีเยี่ยมทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น [3]
ไดอานาตามซาราห์พี่สาวคนโตไปเรียนต่อที่โรงเรียนวิชาการเรือนแอ็งสติตืตท์-อัลแป็ง-วีเดมาแน็ต ในเมืองรูฌมองต์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่เรียนได้เพียงสามเดือนก็ขอกลับบ้าน เพราะที่โรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนพูดเฉพาะภาษาฝรั่งเศสที่เธอไม่ชอบและสนใจแต่เล่นสกี[ต้องการอ้างอิง] ที่นี่ไดอานาได้พบกับพระสวามีในอนาคตของเธอเป็นครั้งแรก ขณะที่ตอนนั้นเจ้าชายชาร์ลส์ยังออกเดตกับเลดี้ซาราห์
แม้ว่าไดอานาจะเรียนไม่เก่งแต่เธอมีพรสวรรค์เรื่องกีฬาทั้งว่ายน้ำและดำน้ำ เคยเรียนบัลเลต์ แต่ไดอานามีส่วนสูงถึง 173 ซม. ซึ่งครูสอนบัลเลต์เห็นว่าสูงเกินไป จึงทำให้เธอต้องยุติการเรียน เธอกลับไปอยู่ที่ลอนดอนก่อนอายุ 17 โดยอาศัยในแฟลตของแม่แต่ก็เหมือนอยู่คนเดียวเพราะส่วนใหญ่แม่ไปอยู่ที่เกาะเซลที่สก็อตแลนด์ ต่อมาพ่อกับแม่ของเธอซื้ออพาร์ตเมนต์แถวเอิร์ลคอร์ท ลอนดอน ในราคา 50,000 ปอนด์ เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 18 ปีของไดอานา และอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งปี 2524 กับเพื่อนๆ อีก 3 คน
ไดอานาเข้าเรียนวิชาทำอาหารหลักสูตรพิเศษกับเอลิซาเบธ รัสเซล ตามคำแนะนำของแม่ ซึ่งเธอไม่ชอบใจนักและทำอาหารเก่งไม่เก่งเลย ต่อมาเธอเริ่มเป็นครูสอนเต้นรำแต่ต่อมาเกิดหกล้มในระหว่างไปเล่นสกีที่ฝรั่งเศสจนต้องเข้าเฝือกนานถึง 3 เดือนและสิ้นสุดการทำงานเป็นครูสอนเต้นรำ หลังจากนั้นเธอได้ไปสมัครงานกับโรงเรียนอนุบาล เธอให้เหตุผลง่ายๆ ว่าอยากทำงานกับเด็กๆ และสุดท้ายก็ได้ทำงานที่นี่ ซาราห์และเพื่อนของเธอยังเคยจ้างไดอานาให้ไปทำความสะอาดบ้านโดยได้ค่าจ้างเพียงชั่วโมงละ 1 ปอนด์แต่ไดอานาก็พึงพอใจกับรายได้นี้ และเธอยังได้รับจ้างเป็นผู้ช่วยในปาร์ตี้ ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหาร-เครื่องดื่มและทำความสะอาด และเคยเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับครอบครัวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในลอนดอนด้วย [4]

[แก้]ความสัมพันธ์กับเจ้าชายแห่งเวลส์

ในตอนแรกๆ นั้นเจ้าชายชาร์ลส์ทรงคบหาอยู่กับซาราห์ พี่สาวคนโตของไดอานา ซึ่งในขณะนั้นเจ้าทรงมีพระชนมายุเกือบ 30 ชันษาและทรงถูกกดดันให้อภิเษกสมรส ซึ่งตอนนั้นซาราห์เคยถูกคาดหวังจะได้เป็นเจ้าสาวของเจ้าชายชาร์ลส์ในอนาคต โดยพระองค์จะเสกสมรสกับหญิงพรหมจรรย์ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์เท่านั้น หากทรงเสกสมรสกับสตรีที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก พระองค์จะถูกตัดสิทธิ์ในการขึ้นครองราชบัลลังก์ทันที ตามมาตราที่ 1701 แห่งกฎหมายอังกฤษ
บารอนเนสเฟอร์มอย ยายของไดอานาเห็นว่าหลานสาวของเธอคนนี้แหละที่เหมาะสมกับเจ้าชายชาร์ลส์ที่สุด เพราะไดอานายังเป็นสาวบริสุทธิ์ ยังไม่เคยคบหากับชายใดมาก่อน และยังเป็นลูกสาวของขุนนางอังกฤษผู้สูงศักด์ จึงทำให้บารอนเนสเห็นว่าไดอานาคู่ควรที่จะได้เสกสมรสกับเจ้าชายอย่างถูกต้องตามกฎหมายและเหมาะสมกันตามสถานะในสังคม
เจ้าชายชาร์ลส์รู้จักไดอานามานานหลายปี เพราะซาราห์ผู้เป็นพี่สาวเคยชวนไดอานาไปร่วมชมการล่าสัตว์และแข่งโปโลกับพระองค์อยู่เนืองๆ แต่หลังจากที่พระองค์ทรงเลิกรากับซาราห์แล้ว ทรงสนพระทัยไดอานาอย่างจริงจังในฤดูร้อนปี 2523 ที่นั่นไดอานาชมการแข่งขันโปโลของเจ้าชายและได้ร่วมงานปาร์ตี้ที่สองได้มีโอกาสพูดคุยกันอย่างถูกคอ ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เมื่อได้รับคำเชิญจากเจ้าชายให้ไปร่วมเรือยอชท์หลวงบริทาเนียในงานแข่งเรือใบ ตามมาด้วยคำเชิญจากเจ้าชายชาร์ลส์ที่ให้เธอไปพักผ่อนที่พระตำหนักบัลมอรัลในสก็อตแลนด์ ซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินเบอระ และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ และความสัมพันธ์ระหว่างไดอานากับเจ้าชายชาร์ลส์ก็กลายเป็นความรักหวานหอม จนกระทั่งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2524 เจ้าชายขอเสกสมรสกับไดอานา ซึ่งเธอตอบตกลง แต่เรื่องนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับจนกระทั่งหลายสัปดาห์ต่อมา [5]

[แก้]พิธีหมั้นและพระราชพิธีอภิเษกสมรส


พระราชพิธีอภิเษกสมรส
สำนักพระราชวังบักกิ้งแฮมออกแถลงการณ์เรื่องพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการของเจ้าชายชาร์ลส์กับเลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2524 หลังจากไดอานาเลือกแหวนหมั้นแพลทินัมประดับแซฟไฟร์เม็ดใหญ่ล้อมรอบด้วยเพชรอีก 14 เม็ดเล็กในมูลค่า 30,000 ปอนด์ (มูลค่าในปัจจุบันนี้ 85,000 ปอนด์)[ต้องการอ้างอิง]คล้ายคลึงกับแหวนของฟรานเซสผู้เป็นแม่ แหวนนี้ถูกทำขึ้นโดยช่างเพชรหลวงเจอร์รัลด์ แต่สมาชิกราชวงศ์หลายพระองค์กลับไม่ทรงโปรดปรานเครื่องเพชรจากเจอร์รัลด์และต่างรู้สึกว่าแหวนหมั้นแซฟไฟร์ล้อมเพชรนี้ไม่ได้ผลิตให้เฉพาะแต่ไดอานาเพียงผู้เดียว เพราะแหวนแซฟไฟร์วงนี้เคยปรากฏอยู้ในคอลเลคชั่นเครื่องเพชรของเจอร์รัลด์ด้วย อีก 30 ปีต่อมาแหวนแซฟไฟร์ล้อมเพชรของไดอานาได้กลายเป็นแหวนหมั้นของเคท มิดเดิลตัน พระคู่หมั้นของเจ้าชายวิลเลียม โอรสองค์ใหญ่ของไดอานา[ต้องการอ้างอิง]
พระราชพิธีอภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นในเช้าวันที่ 29 กรกฎาคม 2524 สาเหตุที่เลือกมหาวิหารเซนต์พอลแทนที่จะเป็นมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เนื่องจากสามารถจุผู้เข้าร่วมพระราชพิธีได้มากกว่า และมหาวิหารแห่งนี้ถูกนิยมใช้เป็นที่ประกอบพิธีเสกสมรสของพระราชวงศ์มายาวนาน และพระราชพิธีถูกถ่ายทอดสดมีผู้รับชมทั่วโลกมากกว่า 750 ล้านคนในวันนั้น และไดอานาได้รับการสถาปนาจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ให้ดำรงอิสริยศเป็น เจ้าหญิงแห่งเวลส์ในขณะที่มีอายุ 20 ปี และทำให้ไเธอกลายเป็นหญิงสามัญชนคนแรกในรอบหลายศตวรรษที่สมรสกับรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ[6][7]
ประชาชนราว 600,000 คนบนบาทวิถี[ต้องการอ้างอิง]ต่างตั้งตารอคอยช่วงเวลาที่ไดอานาเดินทางโดยรถแก้วโบราณเพื่อไปยังสถานที่ประกอบพิธี ณ แท่นบูชาในมหาวิหาร ระหว่างทำพิธีไดอานาได้ขานพระนามของเจ้าชายชาร์ลส์สลับตำแหน่งกันโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยพูดว่า "Philip Charles Arthur George" แทนที่จะเป็น "Charles Phillip ..." และไม่ได้สาบานต่อหน้าบาทหลวงว่า "จะอยู่ในโอวาทของพระสวามี"[ต้องการอ้างอิง] คำสาบานตามธรรมเนียมนี้ถูกตัดออกไปจากพิธีตามคำร้องขอจากคู่สมรสที่ได้สร้างกระแสวิพากย์วิจารณ์ในขณะนั้นพอควร ไดอานาสวมชุดเจ้าสาวสีขาวราคา 9,000 ปอนด์ ชายกระโปรงยาวถึง 8 เมตร ผลงานการตัดเย็บของเดวิดและเอลิซาเบธ เอ็มมานูเอล เค้กแต่งงานสั่งทำกับเชฟแพสทรีชาวเบลเยียม แอส. ชี. ซองแดร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม คนอบเค้กสำหรับพระราชา

[แก้]พระโอรส

5 พฤศจิกายน 2524 สำนักพระราชวังบักกิ้งแฮมออกแถลงการณ์เรื่องการทรงพระครรภ์ของเจ้าหญิงไดอานา และให้สัมภาษณ์เรื่องการมีพระโอรสครั้งแรกกับสื่อมวลชนหลายแขนง [8] ต่อมาในวันที่ 21 มิถุนายน 2525 ไดอานาทรงให้กำเนิดพระโอรสและรัชทายาทองค์แรกที่ปีกอาคารลินโดเขตรโหฐาน มีนามว่า เจ้าชายวิลเลียมที่โรงพยาบาลเซนต์แมร่ แพดดิงตัน 1 ปีต่อมาเจ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงไดอานาเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ พร้อมกับเจ้าชายวิลเลียมซึ่งยังเป็นทารกอยู่ หมายกำหนดการเสด็จเยือนยาวนานกว่า 6 สัปดาห์ การที่ไดอานาพาพระโอรสที่ยังเยาว์วัยมากร่วมการเดินทางในครั้งนี้ทำให้พระองค์ถูกวิพากย์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม แต่มูลเหตุในครั้งนี้เกิดจากคำทูลเชิญจากนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียและในระหว่างเดินทาง ไดอานาให้พระโอรสร่วมเครื่องบินลำเดียวกันกับพระบิดา ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด[9] [10] [11]
พระโอรสองค์ที่สองมีประสูติกาลในวันที่ 15 กันยายน 2527 และมีพระนามว่า เจ้าชายเฮนรี่ และการทรงพระครรภ์ครั้งนี้ เธอไม่ได้บอกให้ใครล่วงรู้ก่อนหน้าว่า เป็นพระธิดาหรือพระโอรส และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจ้าชายใกล้ชิดแนบแน่นกว่าเดิม
ลูกๆ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของไดอานา เธอรักลูกมากและไม่ยอมปฏิบัติตามธรรมเนียมของราชสำนักที่จะต้องจ้างแม่นมหรือพี่เลี้ยง [12] เธอเลือกที่จะเลี้ยงดูพระโอรสทั้งสองด้วยตัวเองตามความรักประสาแม่ลูก และยังเป็นผู้ที่ตั้งพระนามแรกให้พระโอรสเอง เป็นผู้เลือกโรงเรียนให้ลูก เลือกเสี้อผ้า วางแผนให้พระโอรสออกไปเที่ยว ทั้งยังพาเจ้าชายน้อยทั้งสองไปโรงเรียนด้วยพระองค์เองเท่าที่จะมีเวลาว่าง และคำว่า 'ลูก' จะมาก่อนงานในแต่ละวันของพระองค์ ตั้งแต่วันแรกของการเป็นแม่จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต [12]

[แก้]ลูกอุปถัมภ์

ไดอานานอกจากจะมีพระโอรส 2 พระองค์แล้ว ยังทรงมีลูกเลี้ยง (godchildren) อีกเป็นจำนวน 17 คน ดังมีรายชื่อต่อไปนี้[ต้องการอ้างอิง]
  1. เลดีเอ็ดวิน่า กรอสเวนเนอร์ ธิดาของดยุกและดัชเชสแห่งเวสมินสเตอร์ โดยเป็นลูกเลี้ยงคนแรกของไดอานา
  2. ฮอนเนอเรเบิ้ลอเล็กซานดร้า นัตช์บอลล์ ธิดาของลอร์ดและเลดีโรมเซ่ย์
  3. แคลร์ คาซาแลท ธิดาของอิซาเบล และ วิคเตอร์ คาซาแลท
  4. คามิลล่า สไตรเกอร์ ธิดาของเรเบิ้น และฮอนเนอเรเบิ้ลโซเฟีย สไตรเกอร์ ซึ่งเป็นพระสหายที่เคยอยู่แฟลตห้องเดียวกันกับไดอานา
  5. เจ้าชายฟิลิปเปส์ พระราชโอรสของอดีตกษัตริย์คอนสแตนตินและสมเด็จพระราชินีแอนน์ มารี
  6. ลีโอนารา ลอนสเดล ธิดาของเจมี่และลอร่า ลอนสเดล ลอร่าเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของไดอานา
  7. แจ๊กกี้ วอร์แรน บุตรของจอห์นและเลดีแคโรลีน วอร์แรน
  8. เลดีแมรี่ เวลเลสลี่ย์ ธิดาของมาควิสและมาชันเนสแห่งโดโร
  9. จอร์จ ฟรอสต์ บุตรของเซอร์เดวิดและเลดีคาริน่า ฟรอสต์
  10. แอนโทนี่ ทวิสตัน-ดาวี่ ธิดาของออดลี่ย์ ทวิสตัน-ดาวี่ และฮอนเนอเรเบิ้ลแคโรลีน ฮาร์บอด-ฮาร์มอนด์ แคโรลีนเป็นพระสหายที่ไดอานาทรงไว้พระทัยมาก
  11. แจ๊ค ฟลอคเนอร์ บุตรของซีมอนด์และอิซาเบล ฟอล์คเนอร์
  12. ลอร์ดเอ็ดเวิร์ด ดาวน์แพททริค บุตรของเอิร์ลแค้นท์เตสแห่งเซนท์แอนดรูว์
  13. แจ๊ค บาทโลเมล บุตรของวิลเลี่ยมและแคโรลีน บาทโลเมล แคโรลีนเป็นพระสหายตั้งแต่มัธยมและเคยอยู่แฟลตห้องเดียวกับไดอานา
  14. เบนจามิน ซามูแอล บุตรของฮอนเนอเรเบิลไมเคิลและจูเลีย ซามูแอล จูเลียเป็นพระสหายสนิทของไดอานา ทั้งสองคนมักรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันเสมอๆ อีกทั้งยังเป็นเพื่อนไม่กี่คนที่ไดอานาขอคำปรึกษาเรื่องครอบครัวที่ร้าวฉาน
  15. แอนโทนี่ แฮร์ริงตัน ธิดาของโจนาธาน แฮร์ริงตัน
  16. ดิซซี่ย์ โซแอมซ์ ธิดาของฮอนเนอเรเบิลรูเพิร์ทและคามิลลา โซแอมซ์
  17. โดเมนิก้า ลอว์ซัน ธิดาของดอมินิค ลอว์ซันและฮอนเนอเรเบิล โรซา มอนซ์ตัน โรซาเป็นพระสหายคนที่ไดอานาไปประทับอยู่ด้วย 1 เดือนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ โดเมนิก้าเป็นลูกเลี้ยงคนสุดท้ายของไดอานา

[แก้]พระกรณียกิจ


โรนัลด์และแนนซี เรแกนเฝ้าฯ รับเสด็จเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ในการทรงเยือนสหรัฐอเมริกา
นับตั้งแต่ปี 2528 เจ้าหญิงแห่งเวลส์เริ่มปฏิบัติพระกรณียกิจงานด้านการกุศลมากมาย อาทิ การเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลหลายแห่ง เสด็จเยี่ยมโรงเรียนเวสต์ฮีธที่เคยศึกษา พระองค์เริ่มสนใจกิจกรรมอาสาสมัครอย่างจริงจัง เห็นได้จากการเสด็จเยี่ยมผู้ป่วยโรคร้ายอย่างโรคเอดส์และโรคเรื้อน ซึ่งไม่เคยมีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดปฏิบัติมาก่อน นอกจากนี้เจ้าหญิงยังได้ดำรงตำแหน่งผู้อุปถัมภ์องค์การกุศลต่างๆ ที่มักเกี่ยวข้องกับคนไร้บ้าน เด็ก ผู้ติดยา และผู้สูงอายุ รวมทั้งเคยเป็นผู้นวยการโรงพยาบาลเด็กเกรทออร์มันด์สตรีท ไดอานาร่วมสนับสนุนนโยบายการต่อต้านการใช้กับระเบิด และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปลายปี 1997 หลังจากการเสียชีวิต [13]

[แก้]ด้านโรคเอดส์

ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2530 เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงเป็นบุคคลสำคัญคนแรกของโลกที่ถูกถ่ายรูปว่าจับต้องตัวผู้ป่วยโรคเอดส์[ต้องการอ้างอิง] ความคิดและทัศนคติต่อคนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์เปลี่ยนไปทันที และคนป่วยเองก็มีกำลังใจมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะจากคำพูดของประธานาธิบดี บิล คลินตัน ซึ่งกล่าวถึงไดอานา ในปี พ.ศ. 2530 ว่า
เมื่อปี 1987 หลายคนเชื่อว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อกันได้โดยผ่านการสัมผัส แต่เจ้าหญิงไดอานาได้ประทับร่วมเตียงเดียวกับผู้ป่วยโรคเอดส์และทรงกุมมือเขาไว้ พระองค์ได้แสดงให้โลกได้รับรู้ว่าผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่สมควรที่จะถูกทอดทิ้งแต่ควรที่จะได้รับความเอื้ออาทรจากเรามากกว่า นั่นเป็นการเปลี่ยนความคิดของประชาคมโลกและให้ความหวังแก่ผู้ป่วยที่ด้วยโรคร้ายนี้[ต้องการอ้างอิง]

[แก้]การต่อต้านกับระเบิด

มกราคม 2540 ภาพไดอานาเยือนเขตกับระเบิดในชุดพลาสติกป้องกันสะเก็ดระเบิดและหน้ากากพลาสติกถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก การรณรงค์ต่อต้านการใช้กับระเบิดของเธอถูกวิจารณ์ว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเกินไป สิงหาคม 2540 ไม่กี่วันก่อนที่เธอจะเสียชีวิต ไดอานาเดินทางไปประเทศบอสเนีย และได้เย่ยมเยียนเครือข่ายผู้รอดชีวิตจากกับระเบิดในกรุงซาราเจโว[14] ไดอานาให้ความสนใจในเรื่องการต่อต้านกับระเบิดเพราะกับระเบิดสร้างความสูญเสียและอันตรายที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ แม้ว่าสงครามได้สิ้นสุดลงไปนานแล้ว
ไดอานามีอิทธิพลต่อการลงนามในสนธิสัญญาออตตาวา แม้ว่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว สนธิสัญญาออตตาวาว่าด้วยการต่อต้านการใช้กับระเบิดทั่วโลก และร่างพระราชบัญญัติการต่อต้านกับระเบิดฉบับที่ 2 ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภาอังกฤษ [15] นายโรบิน คุก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ กล่าวสุนทรพจน์ต่อการทุ่มเทพระวรกายของไดอานาในการต่อต้านกับระเบิดว่า
เหล่าสมาชิกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายคงทราบว่าเบื้องหลังแรงผลักดันการร่างพระราชบัญญัตินี้มาจากพระอุปถัมภ์ของไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ที่พิสูจน์ให้เราเห็นถึงความสูญเสียจากการใช้กับระเบิด วิธีการที่ดีที่สุดในการบันทึกความซาบซึ้งการทำงานของพระองค์และเอ็นจีโอที่ได้รณรงค์ต่อต้านกับระเบิดคือการผ่านร่างพระราชบัญญัตินี้และปูทางสู่การหยุดใช้กับระเบิดทั่วโลก[16]
องค์การสหประชาชาติได้ขอร้องชาติที่ผลิตและกับระเบิดจำนวนมหาศาล ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย เกาหลีเหนือ ปากีสถาน และรัสเซีย เพื่อร่วมลงนามในสนธิสัญญาเพื่อมิให้มีการผลิตและนำไปใช้ตามที่ไดอานาได้ทรงรณรงค์ไว้ คาโรล เบลลามี ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า "กับระเบิดยังคงเป็นสิ่งล่อใจที่อันตรายตามธรรมชาติของเด็กที่อยากรู้อยากเห็นและเล่นสนุก กับระเบิดทำให้เด็กผู้ไร้เดียงสาได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้"[17]

[แก้]ความร้าวฉานในชีวิตสมรส

ดูเพิ่มที่ สงครามแห่งเวลส์
ต้นปี 2533 ชีวิตสมรสระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เริ่มคลอนแคลน สื่อมวลชนต่างให้ความสนใจต่อเรื่องนี้และพาดหัวข่าวความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่น ทำให้ความกดดันกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั่วโลก [18] ทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงต่างกล่าวหากันว่าเป็นผู้ที่ทำให้ชีวิตสมรสล่มสลายผ่านเพื่อนไปจนถึงสื่อมวลชน ชีวิตรักหวานหอมราวกับเทพนิยายกลายเป็นความรักร้าวที่น่าอดสู ถูกระบุว่าเริ่มต้นขึ้นระหว่างปี 2528 -2529 เมื่อเจ้าชายกลับมีความสัมพันธ์กับคนรักเก่า นางคามิลลา(ต่อมาเป็นภรรยาของแอนดริว ปาร์กเกอร์-โบวส์) ความสัมพันธ์ครั้งนี้ถูกเปิดเผยผ่านหนังสือ Diana: Her True Story โดยแอนดริว มอร์ตันที่วางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคม 2535 เปิดเผยชีวิตส่วนตัวของไดอานาที่เผชิญหน้ากับชีวิตสมรสที่ไร้ซึ่งความสุข และพยายามปลงชีพตัวเองถึง 5 ครั้ง เพราะเครียดในหลายเรื่องๆ ทั้งความกดดันในชีวิตสมรสและสาธารณชนที่จับจ้องมองเธอตลอดเวลา[ต้องการอ้างอิง]
เรื่องราวอื้อฉาวยังคงดำเนินต่อไปเมื่อหนังสือพิมพ์เดอะซันตีพิมพ์ฉบับเดือนสิงหาคม 2535 บทถอดความจากเทปบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าหญิงไดอานากับเจมส์ กิลบี้ ด้วยพาดหัว "Squidgygate -สควิดจี้เกต" ซึ่งคำว่า สคิวดจี้นี้เป็นชื่อเล่นที่กิลบี้ใช้เรียกไดอานาอย่างรักใคร่ อีก 3 เดือนต่อมาเทปบันทึกการสนทนาความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กับนางคามิลลาถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ทูเดย์และเดอะมิเรอร์ กลายเป็นคดี "คามิลลาเกต-Camillagate"
ในช่วงปี 2537 ข่าวลือหนาหูที่ว่าเจ้าหญิงไดอานามีความสัมพันธ์ลำลึกกับอดีตครูสอนขี่ม้า เจมส์ ฮิววิตต์ กลายเป็นหนังสือ Princess in love ที่ตีพิมพ์ในปี 2537 ผ่านคำบอกเล่าจากปากของฮิววิตต์เอง แต่ไดอานาได้ออกให้สัมภาษณ์ผ่านรายการพาโนรามาในปี 2538 ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือเป็นเรื่องทีแต่งขึ้นมาโดยแอนนา พาสเตอร์แนค[ต้องการอ้างอิง]
ธันวาคม 2535 จอห์น เมเจอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศกลางสภาสามัญชนเรื่องการแยกกันอยู่ระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ มกราคม 2536 ต่อมาบทถอดความจากบทสนทนาทางโทรศัพท์ฉบับเต็มจากคดี "คามิลลาเกต" อันอื้อฉาว ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ทั่วทั้งเกาะอังกฤษ [19]
3 ธันวาคม 2536 ไดอานาประกาศถอนตัวจากสาธาณชนอย่างไม่มีกำหนด เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์กับโจนาธาน ดัมเบิลบลี ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2537 ทรงยอมรับว่าได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับนางคามิลลาจริง และกลับไปคบหาเธอเพียงครั้งเดียวในปี 2529 หลังจากที่ชีวิตสมรสของพระองค์กับเจ้าหญิงไดอานาอับปางลง [20] [21] [22]
เจ้าหญิงไดอานาเชื่อว่าคามิลลา เป็นตัวการที่ทำให้ชีวิตของพระองค์ล่มสลาย แต่พระองค์ยังเห็นข้อพิรุธบางอย่างที่ทำให้ทรงเชื่อว่าพระสวามีไปติดพันผู้หญิงอื่นอีก จดหมายส่วนตัวของเจ้าหญิงที่เขียนถึงพระสหาย มีใจความว่า "ชาร์ลส์กำลังไปติดพันหญิงอีกคน คนที่ชื่อ ทิกก์ เล็จจ์-เบิร์ก และต้องการเสกสมรสใหม่กับสตรีผู้นี้" เล็จจ์-เบิร์กไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพี่เลี้ยงที่เจ้าชายจ้างมาดูแลพระโอรสทั้งสองเมื่อมาพักอยู่กับพระองค์ที่สก็อตแลนด์ [23] ทันทีที่ไดอานาทราบว่าพระสวามีจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลพระโอรส ก็รู้สึกไม่พึงพออย่างมากในการกระทำเช่นนี้ของพระสวามี

[แก้]ทรงหย่า


หนังสือสำคัญการหย่าของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์
ไดอานาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการพาโนรามาทางสถานีโทรทัศน์ BBC[24] โดยมีนายมาร์ติน บาเชียร์ เป็นพิธีกร และถูกออกอากาศในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2538 ในการให้สัมภาษณ์ไดอานาพูดถึงนายเจมส์ ฮิววิตต์ ว่า"ใช่ ฉันรักเขา ฉันหลงรักเขา" อ้างถึงคามิลลาในประโยค "มีคนสามคนอยู่ในชีวิตสมรสนี้" เธอพูดถึงตัวเองว่า "ฉันปรารถนาที่จะเป็นราชินีในหัวใจของประชาชน" และพูดถึงความเหมาะสมของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ต่อการขึ้นครองราชย์ว่า "ฉันรู้สึกว่าหน้าที่นี้เป็นหน้าที่ยิ่งใหญ่ บทบาทใหม่จะนำพาข้อจำกัดมากมายให้แก่พระองค์ และฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะปรับตัวให้เข้ากับตำแหน่งนี้ได้อย่างไร"[25]
ธันวาคม 2538 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชสาส์นไปถึงเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ที่ทรงแนะนำให้ทั้งสองหย่าขาดกันอย่างเป็นทางการจากไดอานาเปิดเผยเรื่องส่วนตัวอันขมขื่นอย่างหมดเปลือกผ่านรายการโทรทัศน์ และไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าที่ไดอานากล่าวหาพระพี่เลี้ยง ทิกก์ เล็จจ์-เบิร์ก ว่าไปทำแท้งเด็กที่เกิดกับเจ้าชายชาร์ลส์ [26] หลังจากที่เล็จจ์-เบิร์กส่งปีเตอร์ คาร์เตอร์ให้มาแสดงความขอโทษต่อไดอานา ซึ่ง 2 วันก่อนเรื่องแตก เลขานุการของไดอานา แพทริก เจฟสัน ตัดสินใจลาออกและเขียนโน้ตสั้นทิ้งไว้ว่า "(ไดอานา)รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถกล่าวหาว่าเล็จจ์-เบิร์กที่ไปรีดเด็กในท้องที่เกิดกับเจ้าชายออก"[27] 20 ธันวาคม 2538 สำนักพระรางวังบักกิ้งแฮมออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระราชินีมีพระราชสาส์นถึงเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เพื่อทรงแนะนำให้ทั้งสองหย่าขาดกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี คณะองคมนตรีอาวุโส และสถานีโทรทัศน์ BBC เป็นผู้สนับสนุนสมเด็จพระราชินีให้ทรงออกมาชี้ขาดเรื่องนี้หลังได้ปรึกษาหารือมานานกว่าสองสัปดาห์ เจ้าชายชาร์ลส์ตอบตกลงการหย่าทันที [28]
กุมภาพันธ์ 2539 ไดอานาตอบตกลงการหย่าหลังจากได้เจรจากับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และตัวแทนของสมเด็จพระราชินี ไดอานาสร้างความไม่พอใจให้แก่ราชสำนัก ที่เธอต้องการให้สำนักพระราชวังบักกิ้งแฮมประกาศแถลงการณ์ยอมรับการหย่าขาดจากเจ้าชายและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เธอจะได้รับหลังการหย่า โดยการหย่าขาดเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 28 สิงหาคม 2539 [20] หลังการหย่า ไดอานาได้รับค่าเลี้ยงดูราว 17 ล้านปอนด์จากอดีตพระสวามี [29] และไม่กี่วันก่อนการหย่าเสร็จสมบูรณ์สำนักพระราชวังได้ประกาศให้ไดอานาพ้นจากสถานะชายาของเจ้าชายแห่งเวลส์ทันที และสูญเสียอิสริยศชั้นเจ้าฟ้า (Her Royal Highness) คงใช้แต่เพียงพระนาม ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์
อย่างไรก็ตามสำนักพระราชวังบักกิ้งแฮมยืนยันว่า ไดอานายังคงเป็นสมาชิกของพระราชวงศ์ในฐานะพระมารดาของรัชทายาทลำดับที่สองและที่สามแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ หลังการหย่าร้าง และในการพิจารณาคดีมรณกรรมของไดอานา ไดอานายังคงถือว่าเป็นสมาชิกราชวงศ์อยู่ แม้ว่าจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม

[แก้]ชีวิตใหม่หลังการหย่าร้าง

หลังการหย่าขาดจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ไดอานาได้อพาร์ตเมนต์ผั่งทิศเหนือของพระราชวังเคนซิงตันเพิ่นเป็นสองชุด ที่ครั้งหนึ่งเคยพำนักร่วมกับเจ้าชายชาร์ลส์ในปีแรกของการเสกสมรส และพักอาศัยอยู่ที่นั่นตราบจนสิ้นชีวิต
ไดอานาพบรักครั้งใหม่กับศัลยแพทย์โรคหัวใจ ฮาสนัท ข่าน ที่เจลุม ประเทศปากีสถาน เพื่อนสนิทของเธอเรียกว่า "ความรักในชีวิตของไดอานาที่แท้จริง" ความสัมพันธ์ครั้งนี้ถูกปิดเป็นความลับและกินเวลายาวนาน 2 ปี [30] [31] [32] หลังโดนสื่อพาดหัวข่าวเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
ฮัสนัท ข่านมาจากครอบครัวชาวมุสลิมในปากีสถานที่เขาถูกคาดหวังให้แต่งงานกับหญิงชาวมุสลิมที่เหมาะสม ความสัมพันธ์ระหว่างฮัสนัทกับไดอานากลายเป็นปัญหามากเกินไปสำหรับเขาไม่เพียงแต่เรื่องศาสนาเท่านั้น
จากการให้การของฮัสนัท ข่าน หนึ่งในพยานคดีมรณกรรมของไดอานา โดยให้การว่า ไดอานาเป็นคนบอกเลิกความสัมพันธ์ครั้งนี้เอง หลังการนัดพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อกลางดืกของคืนวันหนึ่งที่ไฮด์ปาร์กซึ่งเชื่อมต่อกับลานพระราชวังเคนซิงตันในเดือนมิถุนายน 2540[ต้องการอ้างอิง]
เดือนเดียวกันไดอานาพบรักครั้งใหม่กับโดดี อัล ฟาเยด ลูกชายของมหาเศรษฐี โมฮัมหมัด อัล ฟาเยด เจ้าของเรือยอทช์ที่พาเธอไปพักผ่อนในฤดูร้อนนั้น ในตอนแรกไดอานามีแผนที่จะพาพระโอรสไปพักร้อนที่เกาะลองส์ไอส์แลนด์ นิวยอร์ก แต่สำนักราชองค์รักษ์ได้ยับยั้งแผนการนี้เสียก่อน และหลังจากที่ตัดสินใจเลื่อนการเดินทางมาที่ประเทศไทยไปเป็นเดือนพฤศจิกายน ไดอานาตอบรับคำเชิญของครอบครัวฟาเยดเพื่อไปร่วมล่องเรือยอชท์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝรั่งเศสตอนใต้ สำนักงานราชองครักษ์ยินยอมให้ไดอานาร่วมพักร้อนกับครอบครัวนี้เพราะได้แจ้งรายละเอียดการรักษาความปลอดภัยสูงบนเรือยอทช์หรูราคาหลายล้านปอนด์มายังสำนักงานก่อนแล้ว

[แก้]สิ้นพระชนม์


รถยนต์เมอร์ซีเดสเบนซ์ภายหลังจากเกิดอุบัติเหตุ
หลังจากเรือยอชท์ที่เพิ่งกลับจากล่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเทียบฝั่งที่ฝรั่งเศส ไดอานาและโดดี ฟาเยด เดินทางต่อไปที่กรุงปารีส เพื่อหยุดพักค้างคืนที่อพาร์ตเมนต์ของโดดีก่อนที่จะกลับลอนดอนในต้นสัปดาห์ของเดือนกันยายน เที่ยงคืนวันที่ 31 สิงหาคม 2540 ไดอานาและโดดีออกจากโรงแรมริทซ์โดยถูกช่างภาพอิสระติดตามถ่ายภาพ รถยนต์ที่ทั้งคู่นั่งมาได้เร่งความเร็วเพื่อหลบหนีการไล่ตามของบรรดาช่างภาพ จนมาถึงถนนลอดอุโมงค์ปองต์ เดอ ลัลมา ที่มีความลาดชันสูง รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ขับมาด้วยความเร็วสูง และนายอองรี พอลคนขับไม่สามารถควบคุมรถยนต์ได้เพราะมีอาการมึนเมา[ต้องการอ้างอิง] รถยนต์จึงพุ่งชนคอนกรีตกลางถนนอย่างจังและหักเลี้ยวอย่างกะทันหัน เพียงไม่กี่นาที่รถเบนซ์ W140 คันงามก็กลายเป็นเศษเหล็กแหลกเละและเกิดควันไหม้ฟุ้งกระจายจากแรงระเบิดเป็นเหตุนายอองรี ปอลคนขับและนายโดดี ฟาเยดเสียชีวิตทันที ไดอานาได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายแห่งภายในทรวงอก และได้สิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลปีเต-ซัลแปร์ติแยร์ ชานกรุงปารีส ในเวลา 3.57 น. ทั้งที่ๆ แพทย์ได้ทำการช่วยชีวิตจนสุดความสามารถ ส่วนนายเทรเวอร์ รีส์-โจนส์ องครักษ์ของนายโดดีเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากอุบัติเหตุ[33]
พิธีศพของพระองค์มีขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 กันยายน 2540 ที่มหาวิหารเวสมินสเตอร์ โดยมีผู้รับชมการถ่ายทอดสดพิธีศพผ่านดาวเทียมมากกว่าหลายร้อยล้านคนทั่วโลก[ต้องการอ้างอิง]

[แก้]แผนลอบสังหารและการพิจารณาคดีมรณกรรมครั้งที่ 2

ในตอนแรก หน่วยสืบสวนฝรั่งเศสสรุปว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากความประมาทของนายอองรี ปอล ที่สูญเสียความสามารถในการควบคุมยานพาหนะ พ่อของโดดี นายโมฮัมหมัด อัล ฟาเยด (เจ้ากิจการโรงแรมริทซ์ปารีส นายจ้างของอองรี ปอล)[34] ออกมายืนยันในปี 2542 ว่า อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นแผนลอบสังหารเจ้าหญิงไดอานา [35] ตามคำสั่งของหน่วยข่าวกรอง MI6 แห่งอังกฤษ และพระบัญชาของเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินเบอระ
คดีมรณกรรมของไดอานาถูกนำมาไต่สวนใหม่ในศาลอังกฤษอีกครั้งช่วงระหว่างปี 2547-2550[36] สุดท้ายแล้วคดีนี้ถูกสรุปว่าเป็นผลจากความประมาทที่เห็นได้ชัดจากการขับขี่ของอองรี ปอลที่เร่งความเร็วของรถยนต์เพื่อหลบหนีการไล่ตามของเหล่าช่างภาพ ไม่กี่วันต่อมานายโมฮัมหมัด ฟาเยด ประกาศยุติการต่อสู้คดีมรณกรรมที่ยาวนานกว่า 10 ปี [37] เพราะเห็นแก่พระโอรสทั้งสองของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ผู้ล่วงลับ

[แก้]การไว้อาลัยแด่เจ้าหญิงแห่งเวลส์ และพิธีศพ

การจากไปอย่างกะทันหันของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ผู้ทรงเสน่ห์ ได้สร้างความโศกเศร้าสะเทือนใจให้กับชาวโลก บุคคลสำคัญในหลายประเทศได้ส่งสาส์นแสดงความเสียใจมายังสหราชอาณาจักร ทันทีที่ประชาชนในอังกฤษทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของไดอานา พระราชวังเคนซิงตันอันเคยเป็นที่พักของพระองค์ก็คลาคล่ำไปด้วยดอกไม้ เทียน การ์ดแสดงความอาลัย และจดหมายจากประชาชนนานหลายเดือน
พิธีศพของไดอานาถูกจัดขึ้นที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ในวันที่ 6 กันยายน 2540 ซึ่งก่อนหน้านี่ไม่กี่วัน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ได้มีพระราชดำรัสแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อการจากไปของไดอานาที่ถ่ายทอดสดจากพระราชวังบักกิ้งแฮม
พระโอรสทั้งสองของเจ้าหญิงไดอานา เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายเฮนรี่ ได้ร่วมเสด็จตามขบวนพระศพของพระมารดา พร้อมด้วยเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินเบอระและชาร์ลส์ สเปนเซอร์ เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9 พระอนุชา [38] และเซอร์เอลตัน จอห์น ได้ร้องเพลง Candle in the wind เพื่อบรรเลงถวายอาลัยแก่ไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ในงานพระศพ

[แก้]พระพินัยกรรม


น้ำพุอนุสรณ์แห่งไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์
(the Diana, Princess of Wales Memorial Fountain)
หลังไดอาน่าเสียชีวิตไปแล้ว ได้มีการเปิดพินัยกรรมในวันที่ 2 มีนาคม ปีถัดมา สาระสำคัญของพินัยกรรมคือ
  1. มีความประสงค์ให้มารดาและนายพลแพทริค เป็นผู้รับผิดชอบและจัดการทรัพย์ของพระองค์
  2. ต้องการให้มีการปลงศพของเธอโดยการฝัง
  3. หากว่าไดอาน่าและพระสวามีสิ้นพระชนม์ก่อนที่พระโอรสทั้งสองพระองค์จะมีพระชนม์ได้ 20 พรรษา มีความประสงค์ประสงค์ให้พระมารดาและพระอนุชา (เอิร์ลสเปนเซอร์ที่ 9) เป็นผู้ปกครองเจ้าชายทั้ง 2 พระองค์
  4. ไดอาน่ายินดีที่จะจ่ายภาษี[ต้องการอ้างอิง]
ผู้พิทักษ์ของไดอาน่ามีทรัพย์สินรวมมูลค่าทั้งหมดประมาณ 35,600,000 ดอลลาร์ ซึ่งหลังจากจ่ายภาษีแล้วจะเหลือประมาณ 21,300,000 ดอลลาร์ พระองค์ทรงโปรดให้แบ่งทรัพย์สินประทานให้แก่ลูกเลี้ยงของพระองค์ทั้ง 17 คนก่อน คนละ 82,000 ดอลลาร์ และให้นายพอล เบอร์เรล มหาดเล็กต้นห้องของพระองค์ 80,000 ดอลลาร์ ทรัพย์ที่เหลือนั้น ให้เก็บรักษาไว้จนกว่าเจ้าชายแฮร์รี่จะมีพระชนม์ 25 พรรษา (และหากว่าทรัสต์มีผลกำไรงอกเงยขึ้นมา) ให้แบ่ง (ทั้งเงินต้นและกำไรของผู้พิทักษ์) เป็นสองส่วนเท่าๆ กัน ประทานแก่พระโอรสทั้ง 2 พระองค์[ต้องการอ้างอิง]
ทั้งนี้พระโอรสทั้งสองพระองค์ และลูกเลี้ยงทั้ง 17 คน จะต้องมีชีวิตอยู่หลังจากเธอเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 เดือนจึงจะมีสิทธิ์รับมรดกตามพินัยกรรม [39][40]

[แก้]อนุสรณ์สถาน

ทันที่มีการรายงานข่าวการเสียชีวิตของไดอานา ทั่วทุกมุมโลกต่างแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้ ในที่สาธารณชน ประชาชนนำช่อดอกไม้และสิ่งของอื่นๆ เพื่อไว้อาลัยไปวางไว้ที่หน้าพระราชวังเคนซิงตันที่ถูกกองดอกไม้ขนาดมหึมาล้อมรอบ นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างอนุสรณ์สถานถาวรเพิ่มเติมอีกหลายแห่ง ดังนี้
  • สวนอนุสรณ์ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ในไฮด์ปาร์ก, กรุงลอนดอน ที่ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการโดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
  • สนามเด็กเล่นอนุสรณ์แห่งไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ในสวนเคนซิงตัน กรุงลอนดอน
  • ทางเดินอนุสรณ์แห่งไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เป็นทางเดินวงแหวนระหว่างสวนเคนซิงตัน, กรีนปาร์ก, ไฮด์ปาร์ก, เซนต์เจมส์ปาร์ก ในกรุงลอนดอน
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 อนุสรณ์ที่ไม่เป็นทางการที่ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์[41] ซึ่งนายโมฮัมหมัด ฟาเยดเป็นเจ้าของ ชิ้นแรกคือรูปถ่ายของไดอานากับโดดีตั้งอยู่เบื้องหลัง ทรงปิรามิดที่บรรจุแก้วไวน์ที่มีรอยเปื้อนลิปสติกของไดอานาในระหว่างอาหารมื้อเย็นมื้อสุดท้ายและแหวนที่นายโดดีเพิ่งซื้อให้เจ้าหญิงเมื่อไม่นานก่อนที่จะเสียชีวิต และอีกชิ้นถูกจัดโชว์ในปี 2548[42] เป็นรูปหล่อทองแดงของนายโดดีที่กำลังเต้นรำกับไดอานาบนชายหาดภายใต้ปีกของนกอัลบาทรอส ใต้ฐานของรูปหล่อมีป้ายจารึกไว้ว่า "Innocent Victim" (เหยื่อผู้บริสุทธิ์) และยังมีอนุสรณ์ที่ไม่เป็นทางการในนครปารีสที่ปลาซ เดอ ลัลมา เป็นที่รู้จักในชื่อ เปลวไฟแห่งเสรีภาพ ถูกนำมาติดตั้งในปี 2542

รูปหล่อทองแดง Innocent Victims ในห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ กรุงลอนดอน

[แก้]ไดอานาในงานศิลปะร่วมสมัย

ตั้งแต่เสียชีวิตไป ชื่อของไดอานาปรากฏอยู่ในผลงานศิลปะมากมายที่อ้างอิงถึงแผนการลอบสังหาร ความเห็นใจต่อชีวิตของไดอานาและการตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
กรกฎาคม 2540 เทรซี่ย์ เอมิน สร้างสรรค์ผลงานภาพพิมพ์ขาวดำที่อิงกับชีวิตจริงของไดอานา ในชุดผลงาน Temple of Diana จัดแสดงในเดอะบลูแกลเลอรี่ที่ลอนดอน เช่นผลงาน They want you to be destroyed (2538)[43] เป็นผลงานที่กล่าวถึงอาการป่วยด้วยโรคบูลิเมียของไดอานา เอมินยืนยันว่า ผลงานภาพศิลปะของเธอนั่นชวนให้รู้สึกสะเทือนอารมณ์และไม่ได้เป็นการเยาะเย้ยถากถางอะไรเลย [44]
ในปี 2548 ผลงานภาพยนตร์ของมาร์ติน ซาสเตรอ Diana : The Rose Conspiracy ถูกฉายในงานเทศกาลหนังเมืองเวนิซ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นว่าชาวโลกได้ค้นพบไดอานายังมีชีวิตอยู่และสนุกสนานกับชีวิตใหม่ที่ถูกปิดเป็นความลับในสลัมชานมอนเตวิเดโอ ซึ่งถ่ายทำที่ชุมชนแออัดอุรุกวัยสถานที่จริงและได้นักแสดงที่เป็นเจ้าหญิงไดอานาตัวปลอมจากเซาเปาโล ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นผลงานภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์ศิลปะอิตาลี[45]
ในปี 2550 มีการจัดแสดงผลงานทางศิลปะของสเตลลา ไวน์ ถือเป็นการแสดงผลงานเดี่ยวครั้งแรกในโมเดิร์นอาร์ตอ็อกฟอร์ดแกลเลอรี่ โดยเป็นงานศิลปะที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแผนลอบสังหารไดอานา ซึ่งศิลปินได้ผสมผสานความเข้มแข็งและความอ่อนแอในบุคลิกของไดอานา [46] รวมทั้งความผูกพันใกล้ชิดกับพระโอรส ในชื่อ Diana Branches, Diana Family Picnic, Diana Veil, & Dian Pram [47]

[แก้]เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด

  • ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 นิตยสารอิตาลี Chi ตีพิมพ์ภาพถ่ายของไดอานาขณะประสบอุบัติเหตุ ซึ่งหมดสติอยู่บนซากรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ทั้งๆ ที่ภาพนี้ได้ถูกขอร้องห้ามมิให้เผยแพร่ภาพนี้ [48] บรรณาธิการแห่งนิตยสารฉบับนี้ ออกมาแก้ตัวง่ายๆ ว่า เหตุที่ตีพิมพ์ภาพนี้เพราะว่ายังไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน และไม่ได้เป็นการดูหมิ่นเจ้าหญิงผู้ล่วงลับ [49]
  • 1 กรกฎาคม 2550 ได้มีการแสดงคอนเสิร์ตเพื่อรำลึกเจ้าหญิงไดอานาในโอกาสที่พระองค์จะมีอายุครบ 46 ปี และจะครบรอบ 10 ปีของการเสียชีวิตในอีกไม่กี่สัปดาห์ โดยคอนเสิร์ตถูกจัดขึ้นที่สนามเวมบลีสเตเดียม โดยมีเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายเฮนรี่เป็นผู้จัดคอนเสิร์ตนี้ [50]
  • ปี 2550 ภาพยนตร์สารคดี Diana: Last Days of Princess (วันสุดท้ายของเจ้าหญิงไดอานา) ถูกเผยแพร่ในอังกฤษครั้งแรก บอกเล่าชีวิตจริงของเจ้าหญิงไดอานาในสองเดือนสุดท้ายของชีวิต

[แก้]ความเห็นต่อชีวิตของไดอานาจากนักประวัติศาสตร์ราชวงศ์

นับตั้งแต่ประกาศหมั้นกับเจ้าชายแห่งเวลส์เมื่อ 29 กรกฎาคม 2524 จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเดือนสิงหาคมปี 2540 ไดอานากลายเป็นบุคคลสำคัญของโลกและถูกระบุว่ากลายเป็นสตรีที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในโลก พระองค์เป็นที่จดจำจากสไตล์การแต่งตัว[51] ความสารถพิเศษในการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่เสแสร้ง แต่ทรงแสดงออกมาจากใจจริง และความทุ่มเทในงานด้านการกุศล และชีวิตสมรสที่ไม่ราบรื่นกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์
เชื่อกันว่าไดอานาเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญของแอนดริว มอร์ตันเพื่อใช้ในการเขียนหนังสือ Diana: Her True Story ที่ตีแผ่เรื่องราวของตัวเธอที่ไม่พึงปรารถนาจากราชวงศ์วินด์เซอร์ ความกดดันในชีวิตสมรส ในหนังสือเล่มนี้อ้างว่าไดอานาพยายามทำร้ายตัวเองด้วยการตกจากบันไดสูงในพระราชวังเพราะเจ้าชายชาร์ลส์หนีหน้าเธอไปขี่ม้าและไม่ความสนใจแก่เธอ ทิน่า บราวน์ ให้ความเห็นว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่การพยายามฆ่าตัวตาย ไดอานาคงไม่มีเจตนาที่จะทำอันตรายกับพระกุมารในครรภ์ และมีราชองครักษ์คนหนึ่งกล่าวว่า ไดอานาแค่ลื่นล้มโดยอุบัติเหตุ [52] และผู้แวดล้อมในเหตุการณ์นี้ก็เล่าว่านี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น [53]
นักประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ซาราห์ แบรดฟอร์ดให้ความเห็นว่า วิธีการเดียวที่จะเยียวยาจิตใจที่ทุกข์ทรมานของไดอานาคือความรักจากเจ้าชายชาร์ลส์ที่ไดอานาโหยหาอยากได้มาแต่กลับถูกปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา พระองค์ทอดท้งเธอ หาวิธีการต่างๆ มาทำให้ตัวพระชายารู้สึกไม่คุณค่าพอสำหรับพระองค์ พระองค์เย็นชาต่อเธอ ทำให้จิตใจและร่างกายของเธออ่อนแอจนสิ้นหวังในชีวิต ความเห็นนี้ตรงกับที่ไดอานาเคยพูดถึงพระสวามีว่า "สามีของฉันพยายามทำให้ฉันรู้สึกไม่เพียงพอในทุกๆ อย่างเท่าที่จะทำได้ เมื่อฉันเริ่มมีกำลังใจแต่อีกเดี๋ยวเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอีกครั้ง"[54]
ไดอานาทรงยอมรับว่าได้เผชิญกับความกดดันทุกอย่างเช่น การทำร้ายตัวเอง, อาการของโรคบูลิเมียที่กำเริบอยู่บ่อยครั้งที่เกิดขึ้นเกือบตลอดช่วงวัยผู้ใหญ่ของเธอ ตอนวัยเด็กไดอานาก็เคยได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจจากพ่อแม่ตั้งแต่การมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงบ่อยครั้งจนถึงการหย่าร้าง ในวัยเด็ก ไดอานากับน้องชายไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ แต่ถูกเลี้ยงดูโดยพี่เลี้ยงที่จ้างมา ทำให้เป็นปมในวัยผู้ใหญ่ที่ไดอานา และชาร์ลส์ สเปนเซอร์ (น้องชายของเธอ) อยากจะเลี้ยงลูกเอง และไม่ยอมจ้างพี่เลี้ยงเหมือนกับที่พ่อแม่เคยทำกับพวกเขา ไดอานาไม่ค่อยชอบพูดความจริง นักจิตวิทยาบอกว่าเป็นผลมาจากครอบครัวที่แตกร้าวในวัยเด็ก และพัฒนาให้เธอมีอาการบุคลิกสองขั้ว [55]
ปี 2550 ทิน่า บราวน์ เขียนหนังสือประวัติของไดอานา โดยมีเนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึงพระองค์ว่า "กระวนกระวายใจและคลั่งไคล้กับการจับจ่ายสินค้าหรูหรามากจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไดอานาถูกครอบงำด้วยภาพลักษณ์ในสังคมจนกลายเป็นคนวิกลจริตจากสื่อมวลชนที่เจตนาร้าย เจ้าเล่ห์แกมโกง สื่อยุ่งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอจนกลายเป็นเรื่องละลาบละล้วง" และเธอให้ความเห็นอีกด้วยว่า "เจ้าชายชาร์ลส์ อภิเสกสมรสกับไดอานาเพื่อผลประโยชน์ของพระองค์เอง และการที่ไดอานาไปมีความรักหวานชื่นกับโดดี ฟาเยด ทำให้ราชสำนักเกิดความโกรธเกรี้ยว เหตุผลที่เป็นไปได้คือ เธอต้องการแก้แค้นกับสิ่งโหดร้ายที่เกิดขึ้นในวังที่เธอเคยได้รับ แต่ไม่มีทางที่ไดอานาจะสมรสใหม่กับชายมุสลิมผู้นี้" [56]

[แก้]พระอิสริยยศ


ตราประจำพระองค์หลังทรงหย่า ซึ่งเป็นตราประจำตระกูลสเปนเซอร์ของพระองค์ ภายใต้มงกุฏอังกฤษ
ไดอาน่าทรงดำรงพระอิสริยยศต่างกันตามช่วงเวลาดังนี้
สำหรับพระนามและพระอิสริยยศเต็มๆ ของพระองค์นับตั้งแต่พระราชพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายชาร์ลส์จนถึงการหย่าร้าง คือ
  • Her Royal Highness The Princess Charles, Princess of Wales and Countess of Chester, Duchess of Cornwall, Duchess of Rothesay, Countess of Carrick, Baroness of Renfrew, Lady of the Isles, Princess and Great Stewardess of Scotland.[58] [59]
หลังจากสิ้นพระชนม์ ประชาชนทั่วไปยังคงนิยมเอ่ยพระนามของพระองค์ว่า "เจ้าหญิงไดอานา" ซึ่งเป็นอิสริยศที่พระองค์ไม่เคยได้รับหลังจากการหย่าร้าง ส่วนสื่อมวลขนเรียกพระองค์ว่า "เลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ หรือ ชื่อเล่นที่สื่อมวลชนตั้งให้พระองค์ "เลดี้ได" (ตามธรรมเนียมของชาวตะวันตกนั้น นิยมกล่าวชื่อของสตรีที่เสียชีวิตด้วย ชื่อและสกุลเดิมก่อนแต่งงาน) และฉายา "เจ้าหญิงของประชาชน" ที่นายโทนี่ แบลร์ อ้างถีงพระองค์ระหว่างการกล่าวคำไว้อาลัยในพิธีพระศพของไดอานา

[แก้]เหรียญเชิดชูเกียรติแห่งสหราชอาณาจักร

Royal Family Order of Queen Elizabeth II

[แก้]เหรียญเชิดชูเกียรติแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์

Grand Officer Order of the Crown (Netherlands)

[แก้]บรรพบุรุษและเชื้อสายกษัตริย์

ไดอานามีเชื้อสายของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 จากบรรพบุรุษทางฝ่ายพ่อ ผ่านโอรสนอกสมรสทั้ง 4 คน ดังนี้[ต้องการอ้างอิง]
  1. เฮนรี่ ฟิทซ์รอย (ดยุกแห่งกราฟตันที่ 1 โอรสของบาร์บารา วิลลิเลียร์ส ดัชเชสแห่งคลีฟแลนด์)
  2. ชาร์ลส์ เลนน็อกซ์ (ดยุกแห่งริชมอนด์และเลนน็อกซ์ โอรสของลูอิซ การือแยร์)
  3. ชาร์ลส์ โบเคลิร์ก (ดยุกแห่งเซนต์อัลบานส์ โอรสของเนล กวิน)
  4. เจมส์ ครอฟท์ สก็อต (ดยุกแห่งมอนมัธ ผู้นำกบฏมอนมัธอันโด่งดังในปี 1685 โอรสของลูซี่ วอลเตอร์)
นอกจากนี้แล้ว เธอยังสืบเชื้อสายจากพระเจ้าเจมส์ที่ 2 กับชายาลับของพระองค์ อราเบลลา เชอร์ชิล ผ่านทางธิดานอกสมรส เฮ็นริเอ็ตต้า ฟิทซ์เจมส์[ต้องการอ้างอิง] เชื้อสายฝั่งแม่ของไดอานามีเชื้อสายอังกฤษ-ไอริช
ตระกูลสเปนเซอร์นั้นจัดว่าเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงที่มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์มายาวนานหลายศตวรรษ และเคยรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่คริสตวรรษที่ 17 ยายของไดอานาหรือ รูธ ร็อฌ บารอนเนสเฟอร์มอยเป็นพระสหายและนางสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระราชชนนีเอลิซาเบธ โบวส์ ลีออน และพ่อของไดอานายังเคยเป็นทหารองครักษ์ของพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มาก่อน
แผนผังข้างล่างนี้แสดงบรรพบุรุษของไดอานานับขึ้นไป 4 ชั่วอายุคน

[แก้]ดูเพิ่ม

Commons

[แก้]เชิงอรรถและอ้างอิง

  1. ^ "The Life of Diana, Princess of Wales 1961-1997"http://www.bbc.co.uk/politics97/diana/ob-divorce.html.
  2. ^ ในฐานะสมาชิกแห่งพระราชวงศ์อังกฤษ ชั้นบรมวงศ์ ไดอานาไม่ทรงมีพระราชสกุล แต่หากทรงพระประสงค์จะใช้ จะทรงใช้พระราชสกุล วินด์เซอร์
  3. ^ "Prince Harry's official website". Princeofwales.gov.uk. 11 February 2010.http://www.princeofwales.gov.uk/personalprofiles/princewilliamprinceharry/princeharry/. เรียกข้อมูลเมื่อ 3 June 2010.
  4. ^ Diana: Her True Story, Commemorative Edition, by Andrew Morton (writer), 1997, Simon & Schuster
  5. ^ Diana: Her True Story, Commemorative Edition, by Andrew Morton (writer), 1997, Simon & Schuster
  6. ^ หลังจากที่เมื่อราว 400 ปีก่อนเลดีแอนน์ ไฮด์ได้เสกสมรสกับจอร์จ ดยุกแห่งยอร์คและอัลบานี หากแต่ความแตกต่างคือชาร์ลส์เป็น “รัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรง” แต่เจมส์เป็น“รัชทายาทโดยสันนิษฐาน” รัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงคือรัชทายาทลำดับแรกผู้ที่ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ ตามพระราชโองการจากกษัตริย์ ในขณะที่ รัชทายาทโดยสันนิษฐาน คือรัชทายาทลำดับรองของการสืบสันตติวงศ์ และลำดับอาจถูกลดลงไปก็ได้เมื่อมีพระราชกุมารพระองค์ใหม่ที่ทรงสิทธิ์สูงกว่าประสูติ เช่นปัจจุบันเจ้าชายแฮร์รี่เป็นรัชทายาทลำดับที่ 3 หากแต่ถ้าเจ้าชายวิลเลี่ยมมีพระโอรสหรือพระธิดา เจ้าชายหรือเจ้าหญิงพระองค์นั้นจะเป็นรัชทายาทลำดับที่ 3 แทน และเจ้าชายแฮร์รี่จะกลายเป็นรัชทายาทลำดับที่ 4 หลังการอภิเษกสมรสไดอานาได้รับยศเป็น "เจ้าหญิงแห่งเวลส์" และมีลำดับพระอิสริยยศเป็นลำดับที่ 3 แห่งพระราชวงศ์ฝ่ายในของอังกฤษ ต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 และสมเด็จพระราชชนนีอลิซาเบธ
  7. ^ ธรรมเนียมของฝั่งยุโรปนั้นหญิงที่แต่งงานกับชายโดยถูกต้องตามกฎหมายจะ "ต้อง" ได้รับยศทั้งหมดของสามีมา แม้ว่าหญิงนั้นจะมียศเดิมของตัวเองสูงกว่าก็จะไม่เสียยศเดิมของตนไป (เช่นเจ้าหญิงอเล็กซานดร้า ไม่ได้ทรงเสียยศเจ้าหญิงของพระองค์เองไป และทรงเป็นเลดี้โอกิลวี่จากการสมรสกับเซอร์โอกิลวี่ด้วย) ในที่นี้ชาร์ลส์เป็น "เจ้าฟ้า" เพราะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ไดอาน่าผู้เป็นพระสุณิสา (Daughter-in-law) ก็ย่อมต้องเป็นเจ้าฟ้าด้วยพฤตินัยจากการอภิเษกนอกจากนี้ ไดอานายังเป็นสตรีสามัญชนคนแรกที่อภิเษกสมรสกับเจ้าชายแห่งเวลส์ และได้ดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ด้วยไดอานาเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์คนแรกที่มาจากสามัญชน เจ้าหญิงแห่งเวลส์พระองค์ก่อนเช่นสมเด็จพระราชินีแมรี่ แห่งเท็คนั้น ทรงเป็นเจ้าหญิงตั้งแต่ประสูติอยู่แล้ว หลังจากทรงเสกสมรสจึงสามารถใช้พระนามว่า Her Royal Highness the Princess Mary, the Princess of Wales ได้ แต่สำหรับไดอานาซึ่งมิใช่เจ้าหญิงจากราชตระกูลนั้น ไม่สามารถที่จะใช้พระนามว่า เจ้าหญิงไดอานาได้
  8. ^ Andrew Morton, Diana Her True Story, p.108
  9. ^ Morton, pp.112-113
  10. ^ Morton, pp.119-120
  11. ^ Leyland, Joanne (29 May 2006). "Charles and Diana in Australia (1983)"The Royalist (ฉบับที่)http://www.theroyalist.net/index2.php?option=com_content&do_pdf=1&id=767. เรียกข้อมูลเมื่อ 4 July 2008.
  12. 12.0 12.1 Morton, p.180
  13. ^ "CNN - The 1997 Nobel Prizes", CNN. สืบค้นวันที่ 12 March 2010
  14. ^ "BBC ON THIS DAY | 15 | 1997: Princess Diana sparks landmines row", BBC News, 15 January 1997. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  15. ^ See Stuart Maslen and Peter Herby, "An international ban on anti-personnel mines: History and negotiation of the 'Ottawa treaty'",International Review of the Red Cross no 325, p. 693-713; see also "july10a". Old.icbl.orghttp://old.icbl.org/media/1998/july10a.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 13 October 2008.
  16. ^ "House of Commons Hansard Debates for 10 July 1998 (pt 1)". Parliament.the-stationery-office.co.ukhttp://www.parliament.the-stationery-office.co.uk/pa/cm199798/cmhansrd/vo980710/debtext/80710-01.htm#80710-01_head0. เรียกข้อมูลเมื่อ 13 October 2008.
  17. ^ "UNICEF - Press centre - Landmines pose gravest risk for children". Unicef.orghttp://www.unicef.org/media/media_24360.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 13 October 2008.
  18. ^ "The timeline to Charles and Camilla's marriage | Articles". GMTV. 8 April 2005http://www.gm.tv/articles/gmtv-today/march-2005/royal-couple-special/13914-royal-timeline.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 3 June 2010.
  19. ^ *Dimbleby, Jonathan (1994). The Prince of Wales: A Biography. New York: William Morrow and Company Inc.. ISBN 0-688-12996-X., p.489
  20. 20.0 20.1 "Timeline: Diana, Princess of Wales", BBC, Last Updated:. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  21. ^ "The Princess and the Press" and at "The timeline to Charles and Camilla's marriage", both accessed 8 January 2010.
  22. ^ *Dimbleby, Jonathan (1994). The Prince of Wales: A Biography. New York: William Morrow and Company Inc.. ISBN 0-688-12996-X., p.395
  23. ^ Rosalind Ryan and agencies. "Diana affair over before crash, inquest told", The Guardian, 7 January 2008. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  24. ^ "The Panorama Interview". BBC.com. November 1995http://www.bbc.co.uk/politics97/diana/panorama.html. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-11-02.
  25. ^ Transcript of the BBC Panorama interview. Retrieved 8 January 2010.
  26. ^ "SPECIAL: PRINCESS DIANA, 1961-1997", Time. สืบค้นวันที่ 2010-11-02
  27. ^ Jephson, P.D. (2001). Shadows of a Princess: An Intimate Account by Her Private Secretary. HarperCollins. ISBN 0380820463.http://books.google.com/books?id=5a7BSWKlUbsC&dq=jephson+shadows+princess. เรียกข้อมูลเมื่อ 2010-11-02.
  28. ^ "BBC ON THIS DAY | 20 | 1995: 'Divorce': Queen to Charles and Diana", BBC, 20 December 1995. สืบค้นวันที่ 2010-11-02
  29. ^ Brown, Tina (2007). The Diana Chronicles. New York: Doubleday. p. 410. ISBN 978-0-385-51708-9.
  30. ^ BBC, 15 December 2007, Today programme
  31. ^ Kay, Richard. "It's farewell from Diana's loyal lover", The Daily Mail, 12 October 2007. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  32. ^ "Diana 'longed for' Muslim heart surgeon - Breaking News - World - Breaking News", Sydney Morning Herald, 17 December 2007. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  33. ^ "BBC ON THIS DAY | 6 | 1998: Diana's funeral watched by millions on television.", BBC News, 6 September 1997. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  34. ^ "Diana crash caused by chauffeur, says report", The Daily Telegraph, 4 September 1999[ลิงก์เสีย]
  35. ^ "Diana crash was a conspiracy - Al Fayed", BBC, 12 February 1998. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  36. ^ "BBC NEWS | UK | Point-by-point: Al Fayed's claims", BBC, Last Updated:. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  37. ^ "Inquests into the deaths of Diana, Princess of Wales and Mr Dodi Al Fayed: FAQs". Scottbaker-inquests.gov.ukhttp://www.scottbaker-inquests.gov.uk/faq/#1. เรียกข้อมูลเมื่อ 13 October 2008.
  38. ^ "Memorial Sites > Diana, Princess of Wales > The Queen's message". Royal.gov.ukhttp://www.royal.gov.uk/output/page152.asp. เรียกข้อมูลเมื่อ 13 October 2008.
  39. ^ พินัยกรรมฉบับเต็ม
  40. ^ ในวันที่เปิดพินัยกรรมนั้นเป็นวันที่ 2 มีนาคมของปีถัดมา นับว่าเป็นเวลามากกว่า 3 เดือนแล้วหลังจากการเสียชีวิต ดังนั้นลูกเลี้ยงของพระองค์ทั้ง 17 คนควรจะได้รับเงินมรดกคนละ 82,000 ดอลลาร์ตามพินัยกรรม หากแต่ 1 สัปดาห์ภายหลังการเปิดพินัยกรรม มารดาของเจ้าหญิงและเลดี้ซาราห์ แมคคอร์ควอเดล พี่สาวคนโต ตัดสินใจเปลี่ยนพินัยกรรม โดยแทนที่จะมอบเงินให้ 82,000 ดอลลาร์ ทั้งสองให้สิทธิ์เด็กทั้ง 17 คนที่จะได้เลือกสิ่งของ 1 อย่างที่เป็นสิ่งของในความครอบครองของไดอานาได้ตามใจชอบ
  41. ^ Rick Steves. "Rick Steves' Europe: Getting Up To Snuff In London". Ricksteves.com.http://www.ricksteves.com/plan/destinations/britain/london.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 13 October 2008.
  42. ^ "Harrods unveils Diana, Dodi statue", CNN, 1 September 2005. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  43. ^ Work illustrated on page 21 of Neal Brown's book Tracey Emin (Tate's Modern Artists Series) (London: Tate, 2006) ISBN 1-85437-542-3
  44. ^ Video footage and interview with Emin from The Blue Gallery exhibition is included in the 1999 ZCZ Films documentary Mad Tracey From Margate
  45. ^ "Vídeo do artista Martín Sastre revive Lady Di em favela uruguaia - 24 August 2005 - Reuters - Entretenimento". Diversao.uol.com.br. 24 August 2005http://diversao.uol.com.br/ultnot/2005/08/24/ult26u19652.jhtm. เรียกข้อมูลเมื่อ 3 June 2010.
  46. ^ "Stella Vine: Paintings"Modern Art Oxford. Retrieved 8 December 2008.
  47. ^ Stella Vine's Latest Exhibition Modern Art Oxford, 14 July 2007. Retrieved 7 January 2009.
  48. ^ "Photos Of Dying Diana Outrage Britain, Italian Magazine Printed Photos Of Princess At Crash Site In 1997 - CBS News", Cbsnews.com, 14 July 2006. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  49. ^ "BBC NEWS | UK | Princes' 'sadness' at Diana photo", BBC News, Last Updated:. สืบค้นวันที่ 13 October 2008
  50. ^ "Chaser's war on dead celebs angers relatives | PerthNow", News.com.au, 18 October 2007. สืบค้นวันที่ 13 October 2008[ลิงก์เสีย]
  51. ^ Bradford, 307-8
  52. ^ Brown, p. 236
  53. ^ Bradford, pg 104.
  54. ^ Bradford, 189
  55. ^ Bedell Smith, Sally (1999). Diana in Search of Herself: Portrait of a Troubled Princess. Times Books. ISBN 0812930533.
  56. ^ Churcher, Sharon. "The most savage attack on Diana EVER", Mail Online, 24 April 2007
  57. ^ ไดอาน่ายังคงทรงเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เช่นเดียวกับที่ซาร่าห์ยังคงทรงเป็นดัชเชสแห่งยอร์ค ทั้ง 2 พระองค์ยังคงทรงเป็นสมาชิกแห่งพระบรมราชวงศ์อังกฤษ แต่ทั้งคู่มิได้ทรงเป็น "เจ้าหญิง" แห่งอังกฤษอีกต่อไป โดยทั้งสองพระองค์มีลักษณะคล้ายกับคามิลล่าในปัจจุบัน ซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถพระราชทานพระบรมราชวินัจฉัยว่าเป็น "รอยัลดัชเชส แต่มิใช่ เจ้าหญิง"
  58. ^ Robert III. "The Prince of Wales - Titles". Princeofwales.gov.uk.http://www.princeofwales.gov.uk/personalprofiles/theprinceofwales/abouttheprince/titles. เรียกข้อมูลเมื่อ 13 October 2008.
  59. ^ อย่างไรก็ตาม พระอิสริยยศข้างต้นมิได้ใช้ทั้งหมด ยกเว้นแต่ในกรณีที่เป็นทางการจริงๆ เท่านั้น หรืออาจใช้พระยศบางอย่างเป็นกรณีพิเศษเช่นเมื่อตอนที่เสด็จทรงเปิดส่วนที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ของสวนสัตว์ในเชสเตอร์ ทรงลงพระนามว่า ไดอาน่า ตามด้วยพระยศเจ้าฟ้าหญิงแห่งเวลส์ และเคานท์เตสแห่งเชสเตอร์ (Diana, Her Royal Highness the Princess of Wales and Countess of Chester) ยกเว้นในสก็อตแลนด์ พระองค์ได้รับการรู้จักในพระนาม Her Royal Highness the Duchess of Rothesay พระอิสริยยศ Princess Diana หรือ เจ้าหญิงไดอานานั้น ถือว่าไม่ถูกต้องตลอดทั้งพระชนม์ชีพ

[แก้]หนังสืออ่านเพิ่มเติม

  • วรรธนา วงษ์ฉัตร และ ภัคพงษ์ (2540). ไดอาน่าเจ้าหญิงในดวงใจ (พิมพ์ครั้งที่ 2). ไดอาน่าเจ้าหญิงในดวงใจ. กรุงเทพฯ: น้ำฝน. ISBN 974-7274-84-1 (ไทย)
  • Burrell, P. (2003). A royal duty. New York: G.P. Putnam's Sons. ISBN 0-399-15172-9 (อังกฤษ)
  • Morton, A. (1992). Diana: Her true story. New York: Simon & Schuster. ISBN 0-671-79363-2 (อังกฤษ)
  • Morton, A. (1995). Diana: Her new life. New York: Pocket Star Books. ISBN 0-671-53398-3 (อังกฤษ)

[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น